
เคล็ดลับเล่าเรื่องแบรนด์ด้วยวิดีโอ: เพิ่มความประทับใจให้ลูกค้าจดจำ
September 17, 2024
STGT จัดงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Amazing Thailand Factory Visit Trip 2024”
September 23, 2024พัฒนากลยุทธ์ Google Ads อย่างไรให้ได้ผลลัพธ์เกินคาด
Google Ads คือเครื่องมือโฆษณาที่ทรงพลัง ซึ่งช่วยให้แบรนด์และธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเป็น Marketer การใช้ Google Ads อย่างมีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มยอดขายและผลลัพธ์ทางการตลาดได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หลายคนยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นหรือปรับแต่งแคมเปญอย่างไร วันนี้ Hello Monday จะมาแนะนำ 5 เทคนิคสำคัญในการใช้ Google Ads ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
1. เลือกคำค้นหาที่เหมาะสม
การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการสร้างแคมเปญ Google Ads ให้มีประสิทธิภาพ คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและสินค้า/บริการของคุณจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลโฆษณาต่อกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับความต้องการ
เทคนิค:
ใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องและมีปริมาณการค้นหาสูง
เลือกคำค้นหาที่มีค่า CPC (Cost per Click) ไม่สูงเกินไปและมีความสามารถในการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion)
ตัวอย่าง:
แบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแห่งหนึ่งเลือกคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงและสัมพันธ์กับความต้องการของลูกค้า เช่น "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้หญิง" และหลีกเลี่ยงคีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไปอย่าง "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ชัดเจน
2. สร้างโฆษณาที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
คำโฆษณาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คำโฆษณาที่ดีควรชัดเจนและสื่อถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 บรรทัด
เทคนิค:
ใช้ภาษาเชิญชวน เช่น "ลดราคา", "ฟรีค่าจัดส่ง" หรือ "โปรโมชั่นพิเศษ"
รวมคำกระตุ้นให้เกิดการกระทำ (Call to Action) เช่น "ซื้อเลย", "สมัครทันที" หรือ "ทดลองฟรี"
ทำ A/B Testing เพื่อหาคำโฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ตัวอย่าง:
ธุรกิจขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ได้ทำ A/B Testing โดยเปรียบเทียบคำโฆษณาที่เน้นโปรโมชั่นและคำโฆษณาที่เน้นคุณสมบัติสินค้า ปรากฏว่าคำโฆษณาที่มีคำว่า "ลดราคาพิเศษ 20% สำหรับสินค้าทุกชิ้น" ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
3. ปรับปรุงหน้า Landing Page ให้พร้อม
การที่โฆษณาดึงดูดลูกค้าให้คลิกเข้ามาแล้วไม่ใช่เพียงพอ การมีหน้า Landing Page ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้าได้
เทคนิค:
หน้า Landing Page ควรมีความสอดคล้องกับคำโฆษณา เช่น หากโฆษณาพูดถึงโปรโมชั่น หน้า Landing Page ก็ควรมีข้อมูลเกี่ยวกับโปรโมชั่นนั้นชัดเจน
การออกแบบหน้า Landing Page ควรให้เรียบง่าย โหลดเร็ว และมีปุ่ม Call to Action ที่ชัดเจน
ตัวอย่าง:
เว็บไซต์ขายเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ได้ปรับหน้า Landing Page ให้มีปุ่ม “ซื้อเลย” ที่โดดเด่น รวมถึงการแสดงโปรโมชั่นล่าสุดในหน้าแรก ทำให้ยอด Conversion เพิ่มขึ้นถึง 25% ภายในเดือนแรก
4. ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
การเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้องจะช่วยให้โฆษณาไปถึงคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้ามากที่สุด
เทคนิค:
ใช้ Google Ads Audience Manager เพื่อปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรม, ความสนใจ หรือข้อมูลประชากร
สร้าง Custom Audiences เพื่อติดตามผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณหรือผู้ที่เคยทำ Conversion
ตัวอย่าง:
ธุรกิจโรงแรมแห่งหนึ่งเลือกกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีพฤติกรรมการค้นหา "โรงแรมหรูในกรุงเทพ" ส่งผลให้ได้รับยอดจองที่เพิ่มขึ้นกว่า 30%
5. วัดผลและปรับแคมเปญ
การปรับแคมเปญอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ทำให้ Google Ads มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนคีย์เวิร์ด, ปรับงบประมาณ หรือปรับปรุงคำโฆษณา
เทคนิค:
ใช้ Google Analytics ร่วมกับ Google Ads เพื่อติดตาม Conversion และวัดผลการทำโฆษณา
ตรวจสอบรายงานการใช้งบประมาณ เพื่อดูว่าคำค้นหาใดที่มีประสิทธิภาพสูงและควรเพิ่มงบโฆษณา
ตัวอย่าง:
บริษัท Startup ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อดูว่าโฆษณาคำว่า "จองที่พักหรูในกรุงเทพ" มีการคลิกสูงแต่ Conversion ต่ำ จึงปรับเปลี่ยนคำโฆษณาใหม่และโฟกัสไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มทำการจองมากกว่า
วิธีนำไปประยุกต์กับธุรกิจของคุณ
ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ คุณสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ทันที
เริ่มจากการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
สร้างโฆษณาที่ดึงดูดใจและชัดเจน
ปรับหน้า Landing Page ให้พร้อมรับลูกค้าที่เข้ามาจากโฆษณา
เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้า/บริการของคุณ
ติดตามและปรับแคมเปญอย่างต่อเนื่องเพื่อให้โฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
หากคุณสามารถนำขั้นตอนเหล่านี้ไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม Google Ads จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายธุรกิจของคุณอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลนี้